Design Thinking💡 สุดยอดเทคนิค ฝึกคิดอย่างเป็นระบบ

ช่วงนี้มีคนพูดถึง “Design Thinking” กันเต็มไปหมด สงสัยกันไหมว่า คำนี้มันคืออะไรกันนะ🤔 แน่นอนว่าต้องไม่ใช่ ‘การวาดภาพ/การออกแบบ’ อย่างที่บางคนนึกถึงอยู่แน่ ๆ แต่ว่า  Design Thinking เนี่ย มีความสำคัญต่อการทำงานในปัจจุบันมาก ๆ เลยล่ะ วันนี้ NEXKY เลยไปรวบรวมข้อมูล เพื่อมาเล่าให้ทุกคนได้อ่าน และทำความเข้าใจกันแบบง่าย ๆ อย่ารอช้า รีบมาทำความรู้จักหลักการนี้กันเลยดีกว่า


🌟Design Thinking คืออะไร? 

Design Thinking (กระบวนการคิดเชิงออกแบบ) คือ กระบวนการคิด เพื่อแก้ไขปัญหา/โจทย์ให้ตรงจุด ตลอดจนพัฒนาแนวคิดใหม่ ๆ ในการแก้ไขปัญหา/โจทย์ที่ตั้งไว้ 🔎อีกทั้งเป็นการค้นหาวิธีที่ดีที่สุด และเหมาะสมที่สุดในสถานการณ์นั้น โดยการแก้ปัญหาด้วยกระบวนการนี้จะเน้นไปที่ผู้ใช้งาน หรือผู้บริโภค (User-Centered) เป็นหลัก เพื่อสร้างผลลัพธ์ในอนาคตที่เป็นรูปธรรม สามารถตอบโจทย์ได้อย่างตรงจุด ตลอดจนแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ🔝 รวมไปถึงการเกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่มีประโยชน์อีกด้วย

📌 ประโยชน์ของระบบการคิดเชิงออกแบบ  

  1. ฝึกกระบวนการแก้ปัญหา เพื่อหาทางออกที่เป็นลำดับขั้นตอน📊 : ทุกคนต้องวิเคราะห์ปัญหารอบด้าน อย่างมีแบบแผนและรอบคอบ สิ่งนี้จะช่วยให้เห็นรายละเอียดมากขึ้น ทำให้เข้าใจปัญหาได้อย่างถ่องแท้ และแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด
  2. มีทางเลือกที่หลากหลาย : เกิดจากการแชร์ไอเดีย ระหว่างหาทางแก้ไขปัญหา กับ เพิ่มทางเลือกในการแก้ปัญหา 
  3. มีตัวเลือกที่ดีที่สุด เหมาะสมที่สุด💯 : เมื่อมีตัวเลือกหลากหลาย จะช่วยเพิ่มโอกาสให้เจอตัวเลือกที่ดีที่สุดและเหมาะสมที่สุด
  4. ฝึกความคิดสร้างสรรค์💡 : จากการแชร์ไอเดีย/ระดมความคิด จะทำให้สมองเกิดการคิดหลากหลายรูปแบบมากขึ้น กระตุ้นให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ขึ้นได้
  5. เกิดกระบวนการใหม่ จนเกิดนวัตกรรมใหม่🤖 : เมื่อมีการแชร์ไอเดียกัน มักจะทำให้ค้นพบวิธีใหม่ ๆ จนเกิดเป็นการแก้ปัญหารูปแบบใหม่ ซึ่งจะนำไปสู่การเกิดนวัตกรรมได้นั่นเอง
  6. มีแผนสำรองในการแก้ปัญหา✅ : เวลาที่เรามีไอเดียในการแก้ปัญหามากมาย อาจทำให้บางไอเดียนั้นไม่ถูกเลือก ซึ่งเราก็สามารถนำไอเดียนั้นมาใช้เป็นแผนสำรองในอนาคตได้นะ
  7. องค์กรมีการทำงานอย่างเป็นระบบ👥 : เมื่อเราฝึกคิดอย่างเป็นระบบบ่อย ๆ จะช่วยให้ทำงานได้เป็นระบบมากขึ้น และมีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นอีกด้วย

🧠กระบวนการของการคิดเชิงออกแบบ (Design Thinking Process) 

  1. Empathize เข้าใจปัญหา : ขั้นแรก ต้องทำความเข้าใจปัญหาให้ได้ก่อน เพื่อที่จะได้รู้ ‘Pain Point’ ของกลุ่มเป้าหมาย และหาวิธีที่เหมาะสมและดีที่สุดให้ได้❗️ อาจเริ่มจากการตั้งคำถาม ลองสร้างสมมติฐาน กระตุ้นให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ที่ดี ตลอดจนวิเคราะห์ปัญหา เพื่อหาแนวทางแก้ไขที่ชัดเจน 
  2. Define กำหนดปัญหาให้ชัดเจน : เมื่อทำการวิเคราะห์จนรู้ถึงปัญหาที่ชัดเจนแล้ว ให้นำเอาข้อมูลทั้งหมดมาคัดกรองให้เหลือแต่ ‘ปัญหาที่แท้จริง’🌟 จะทำให้สามารถกำหนดแนวทางในการแก้ไขปัญหาได้
  3. Ideate ระดมความคิด : ลองนำเสนอแนวความคิด ตลอดจนแนวทางการแก้ไขปัญหารูปแบบต่าง ๆ ในหลากหลายมุมมอง ลองคิดออกมาให้ได้มากที่สุด🔥 เพื่อที่จะเป็นฐานข้อมูลในการนำมาประเมินผล แล้วสรุปความคิดที่ดีที่สุดสำหรับการแก้ไขปัญหานั้นๆ ซึ่งไม่จำเป็นต้องเลือกแค่ความคิดเดียว แต่อาจผสมผสานหลากหลายความคิดให้ออกมาเป็นแนวทางสุดท้ายที่ชัดเจนก็ได้ ซึ่งวิธีนี้จะช่วยให้มองปัญหาได้อย่างรอบด้าน และหาวิธีการแก้ปัญหาได้อย่างรอบคอบ
  4. Prototype สร้างต้นแบบที่เลือก : ต้องลงมือปฎิบัติ หรือทดลองทำจริงตามแนวทางที่ได้เลือกมา ตลอดจนสร้างต้นแบบของปฎิบัติการที่ต้องการจะนำไปใช้จริง
  5. Test ทดสอบ : ทดลองนำต้นแบบ หรือข้อสรุปที่จะนำไปใช้จริงมาปฎิบัติก่อน เพื่อทดสอบประสิทธิภาพ ตลอดจนประเมินผล แล้วนำเอาปัญหา หรือข้อดี-ข้อเสียที่เกิดขึ้นมาปรับปรุงแก้ไข ก่อนนำไปใช้จริงอีกครั้ง

😊NEXKY เชื่อว่า ตอนนี้ทุกคนคงรู้แล้วว่า ทำไม “Design Thinking” ถึงเป็นวิธีการคิดที่ได้รับความนิยมในตอนนี้ เพราะไม่ว่าจะเป็นในด้านธุรกิจ หรือการบริหารองค์กรแล้ว การคิดแบบ Design Thinking ก็สามารถทำให้ดำเนินการต่าง ๆ ได้ง่ายและเป็นระบบมากขึ้น 💥เป็นวิธีที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้สุดยอดเลยทีเดียว เพื่อน ๆ ก็สามารถนำวิธีนี้ไปปรับใช้กับการทำงานกลุ่มต่าง ๆ ได้เหมือนกันนะ

อ้างอิง

HR NOTE.asia

เผยแพร่โดย NEXKY

NEXKY คนดีคนเดิมเพิ่มเติมคือความดีใจที่ได้เจอทุกคน มีคำถามอยากปรึกษา ติดต่อ NEXKY ได้ที่ FB : CU NEX